ชีวิตที่มั่นคงและสุขสบาย ย่อมเป็นเป้าหมายของทุกคน หนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้บรรลุเป้าหมายนี้ได้ คือ การวางแผนการเงินส่วนบุคคล บทความนี้เปรียบเสมือนคู่มือที่จะช่วยนำทางคุณสู่ความมั่งคั่งและอิสรภาพทางการเงิน
ความสำคัญของการวางแผนการเงิน การเงินเปรียบเสมือน "น้ำ" หล่อเลี้ยงชีวิต ช่วยให้เราสามารถดำรงชีวิต ซื้อสิ่งของที่ต้องการ และบรรลุเป้าหมายต่าง ๆ
การวางแผนทางการเงินเปรียบเสมือน "แผนที่" ช่วยให้เรารู้ว่าควรเตรียมแผนการเงินอย่างไร มุ่งหน้าไปทางไหน และบรรลุเป้าหมายทางการเงินได้อย่างไร
บทบาทของการวางแผนทางการเงินส่วนบุคคล เปรียบเสมือน "เข็มทิศ" ช่วยให้เราตัดสินใจเรื่องการเงินได้อย่างชาญฉลาด เช่น
• บรรลุเป้าหมายทางการเงิน: ซื้อบ้าน ซื้อรถ เกษียณอายุอย่างสบาย
• จัดการกับความเสี่ยง: พร้อมรับมือกับเหตุการณ์ไม่คาดฝัน
• สร้างความมั่นคงให้กับอนาคต: ดูแลตัวเองและครอบครัวรวมถึงการส่งต่อทรัพย์สินให้กับทายาท
1. กำหนดเป้าหมาย: ระบุเป้าหมายทางการเงินทั้งระยะสั้น (1-3 ปี) ระยะกลาง (3-5 ปี) และระยะยาว (5 ปีขึ้นไป) โดยการกำหนดเป้าหมายต้อง SMART (Specific, Measurable, Achievable, Relevant, and Time-bound)
• Specific: เฉพาะเจาะจง เป้าหมายควรชัดเจน ระบุรายละเอียดให้ครบถ้วน
• Measurable: วัดผลได้ เป้าหมายควรวัดผลได้ มีตัวชี้วัดที่ชัดเจน
• Achievable: ทำได้จริง เป้าหมายควรเป็นไปได้ สมเหตุสมผล
• Relevant: เกี่ยวข้อง เป้าหมายควรสอดคล้องกับเป้าหมายระยะยาว
• Time-bound: กำหนดเวลา เป้าหมายควรมีกรอบเวลาที่ชัดเจน
2. ประเมินสถานะปัจจุบัน: วิเคราะห์รายรับ รายจ่าย หนี้สิน และสินทรัพย์
3. จัดทำแผนการเงิน: ออกแบบแผนการเงินที่เหมาะสมกับเป้าหมายและสถานะปัจจุบัน กำหนดกลยุทธ์การออม และเลือกเครื่องมือทางการเงินที่เหมาะสม เช่น กองทุนรวม ประกันชีวิต การวางแผนภาษี
4. ติดตามและปรับแผน: ตรวจสอบผลลัพธ์ของแผนการเงินอย่างสม่ำเสมอ และปรับแผนการเงินให้เหมาะสมกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลง เช่น เปลี่ยนงาน แต่งงาน มีลูก
เครื่องมือและเทคนิคที่จะช่วยให้แผนการเงินไปถึงเป้าหมาย ปัญหาที่คนส่วนใหญ่พบคือ มีความตั้งใจจะวางแผนการเงิน หรือออมเงินเพื่อเป้าหมาย แต่มักเหตุการณ์ต่าง ๆ เข้ามาแทรก ทำให้ไม่สามารถทำตามแผนที่วางไว้ได้ เทคนิคดังต่อไปนี้ อาจช่วยท่านได้
• การจัดทำงบประมาณ หรือ บันทึกรายรับรายจ่าย: ช่วยให้เข้าใจพฤติกรรมการใช้จ่าย และควบคุมการใช้จ่ายให้อยู่ในกรอบ ปรับลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น
• การวิเคราะห์อัตราส่วนทางการเงิน: เพื่อประเมินสุขภาพทางการเงิน เช่น คำนวนหนี้สินต่อรายได้ เพื่อประเมินว่า รายได้เพียงพอต่อการชำระภาระหนี้ และการดำรงชีวิต ได้หรือไม่ หากไม่เพียงพอ ต้องอาจจะต้องหารายได้เพิ่มเติม
• การใช้จ่าย: แบ่งเงินเป็นสัดส่วนสำหรับการใช้จ่ายที่จำเป็น การออม และการลงทุน
• ตั้งเป้าหมายการออม: เก็บออมเงินอย่างสม่ำเสมอ สมัครบริการหักเงินออมอัตโนมัติ
• ใช้หนี้สินอย่างมีประสิทธิภาพ: วางแผนการชำระหนี้ ปลดหนี้ให้เร็วที่สุด เช่น ปิดภาระหนี้ที่ยอดคงเหลือน้อยที่สุดก่อน หรือเลือกชำระหนี้ที่มีดอกเบี้ยสูงก่อน ชำระหนี้ให้มากกว่ายอดขั้นต่ำเป็นต้น
• ลงทุนอย่างชาญฉลาด: ศึกษาข้อมูล และเลือกผลิตภัณฑ์ด้วยความเข้าใจ และเหมาะสมกับความเสี่ยงที่ตัวเองรับได้ เช่น หากรับความเสี่ยงได้น้อย อาจเลือกลงทุนใน พันธบัตรรัฐบาล หรือ กองทุนตราสารหนี้ หากรับความเสี่ยงได้ อาจเลือกลงทุนในกองทุนรวม หุ้นสามัญ เป็นต้น
• การวางแผนภาษี: วางแผนประหยัดภาษีอย่างถูกต้องตามกฎหมาย เช่น ลงทุนในกองทุนรวมลดหย่อนภาษี SSF/RMF ประกันชีวิต ประกันบำนาญ หรือปรึกษานักวางแผนการเงิน
• เตรียมพร้อมสำหรับเหตุการณ์ไม่คาดฝัน: เช่น เจ็บป่วย เสียชีวิต อุบัติเหตุ ควรมีเงินสำรองเผื่อกรณีฉุกเฉิน หรือทำประกันคุ้มครองความเสี่ยง โดยเลือกประกันที่เหมาะสมกับความต้องการและความสามารถทางการเงิน
• ทบทวนแผนการเงินอย่างสม่ำเสมอ: ปรับแผนตามสถานการณ์ เช่น กรณีภาวะเศรษฐกิจเปลี่ยนแปลงไป หรือเป้าหมายในชีวิตเปลี่ยนแปลง เช่น แต่งงาน มีลูก
ความมั่งคั่งสุทธิ (Net Worth) เป็นตัวชี้วัดความสำเร็จทางการเงินที่สำคัญ สะท้อนภาพรวมของสถานะทางการเงิน โดยคำนวณจาก มูลค่าของทรัพย์สินทั้งหมด หักด้วยหนี้สินทั้งหมด
ความมั่งคั่งสุทธิ = สินทรัพย์ – หนี้สิน
สินทรัพย์ หมายถึง สิ่งที่มีมูลค่า เช่น เงินสด เงินฝาก ลงทุน อสังหาริมทรัพย์
หนี้สิน หมายถึง สิ่งที่เราติดค้างผู้อื่น เช่น เงินกู้ บัตรเครดิต
ตัวอย่าง:
ทรัพย์สิน | หนี้สิน |
เงินสด 100,000 บาท | เงินกู้ยืม 500,000 บาท |
หุ้น 500,000 บาท | บัตรเครดิต 100,000 บาท |
บ้าน 1,000,000 บาท | |
ความมั่งคั่งสุทธิ = (100,000 + 500,000 + 1,000,000) - (500,000 + 100,000) = 900,000 บาท
ความมั่งคั่งสุทธิ สะท้อนให้เห็นถึงสถานะทางการเงินของบุคคลว่ามีความมั่นคงมากน้อยแค่ไหน
• ความมั่งคั่งสุทธิ เป็นบวก แสดงว่า มีสินทรัพย์มากกว่าหนี้สิน
• ความมั่งคั่งสุทธิ เป็นศูนย์ แสดงว่า มีสินทรัพย์เท่ากับหนี้สิน
• ความมั่งคั่งสุทธิ เป็นลบ แสดงว่า มีหนี้สินมากกว่าสินทรัพย์
อย่างไรก็ตาม การวัดความมั่งคั่งสุทธิ ใม่ใช่ตัววัดเดียว ที่สะท้อนความสำเร็จทางการเงิน การวัดความสำเร็จทางการเงินนั้น มีมิติที่ลึกซึ้งและหลากหลายมากกว่าการวัดจากตัวเลขเพียงอย่างเดียว
ข้อจำกัดของการวัดความมั่งคั่งสุทธิ
• ไม่สะท้อนความมั่นคงทางการเงิน: ตัวเลขความมั่งคั่งสุทธิ ไม่ได้บอกอะไรเกี่ยวกับความมั่นคงทางการเงิน บุคคลที่มีมูลค่าทรัพย์สินสูง อาจมีหนี้สินจำนวนมาก
• ไม่รวมถึงความมั่งคั่งทางอารมณ์: ความสำเร็จทางการเงิน ไม่ได้แปลว่ามีความสุขเสมอไป หลายคนที่มีเงินทองมากมาย อาจเผชิญปัญหาความสัมพันธ์ สุขภาพ หรือความเครียด
• ละเลยความมั่งคั่งด้านเวลา: การมีเวลาให้กับครอบครัว เพื่อนฝูง หรือทำกิจกรรมที่รัก อาจเป็นสิ่งที่มีค่ามากกว่าเงินทอง
• ไม่วัดความพึงพอใจในชีวิต: การมีเงินมาก อาจไม่ได้แปลว่ามีความสุข หลายคนที่มีเงินน้อย แต่มีความสุขกับชีวิตมากกว่า
ตัววัดความสำเร็จทางการเงินที่แท้จริง อาจหมายถึง
• ความมั่นคงทางการเงิน: มีเงินออมเพียงพอสำหรับค่าใช้จ่ายฉุกเฉิน มีแผนการเงินสำหรับอนาคต และไม่มีหนี้สิน
• ความสุข: รู้สึกพอใจกับชีวิต มีความสัมพันธ์ที่ดีกับครอบครัว เพื่อนฝูง และมีสุขภาพที่ดี
• อิสรภาพทางการเงิน: มีอิสระในการเลือกใช้ชีวิต ทำงานที่รัก โดยไม่ต้องกังวลเรื่องเงิน
• ความหมาย: รู้สึกว่าชีวิตมีคุณค่า มีเป้าหมาย และสามารถสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อสังคม
ขอขอบคุณข้อมูลดี ๆ จาก :
สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ.2565 สำนักพัฒนาและถ่ายทอดเทคโนโลยีการสหกรณ์
Copyright All Reseve 2022 Cooperative Technology Transfer and Development Office
Picture Icons & Symbols จากเว็บไซต์ Pixabay.com, Freepik.com, Flation.com, Canva.com